Sunday, April 18, 2021

นิทรรศการ "Messages" @ MOCA Museum of Contemporary Art ตั้งแต่วันนี้ - 27 เมษายน 2564

 


นิทรรศการ "Messages" เปิดให้ไปชมกันได้ ฟรี! ที่ MOCA Museum of Contemporary Art ตั้งแต่วันนี้ - 27 เมษายน 2564  (ทุกวันอังคาร - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00)



Chavalit Soemprungsuk

“การที่ผมทำศิลปะตามใจตัวเอง ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมทำศิลปะเพื่อตัวผมเอง เพราะ เป้าหมายที่แท้จริงของงานศิลปะไม่ว่าสาขาใด มีไว้เพื่อยกระดับจิตใจมนุษย์ให้แตกต่างไปจาก เดรัจฉานด้วยกันทั้งนั้น...ศิลปะไม่ว่าจะเป็นแบบใด ดูรู้เรื่องหรือไม่ ก็เป็นนามธรรมทั้งสิ้น ทุกคนรับรู้ได้ จะมากจะน้อยเพียงใด หาใช่ประเด็นสำคัญไม่”

---ข้อความบางส่วนจากข้อเขียนของ อ.ชวลิต เสริมปรุงสุข ณ  วันที่ 1 พฤษภาคม 2562---




Chavalit Soemprungsuk


"The way I do art according to my own preferences . It does not mean I do art for myself because of the true purpose of art in any field. Intended to elevate the human mind to be different from All the brute ... art of any kind. Do you know about it? Is totally abstract. Everyone can know How much will it be? Not an important point. "



--- Some messages from the writings of Ajarn Chavalit Sermprungsuk as of May 1, 2019 ---



                                                                                                                 เต้ Art man 


"Messages (สาร)" ที่ MOCA Museum of Contemporary Art ซึ่งกำลังจัดแสดงผลงานของ อ. ชวลิต เสริมปรุงสุข ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี พ.ศ. 2557 ศิลปินระดับชั้นครูของครูที่ถึงแม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่มรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่ท่านได้ทิ้งไว้นั้นมีคุณค่าต่อการศึกษาด้านศิลปะ และ จรรโลงจิตใจ ประกอบกับเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังได้อย่างมากมาย
ในงานนี้ ผลงานและบันทึกข้อเขียนต่างๆ ของ อ.ชวลิต ถูกนำมาจัดแสดงเคียงคู่ไปกับ ผลงานศิลปะ จากศิลปินร่วมสมัยระดับแนวหน้าของประเทศไทย 5 ท่านได้แก่ อังกฤษ อัจฉริยโสภณ, ฟ้าสาง นาวาอรัญ, วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์, จิตต์สิงห์ สมบุญ และ ปานพรรณ ยอดมณี ซึ่งแต่ละท่านได้มาสร้างผลงานใหม่เพื่อระลึกถึงการจากไป และ สะท้อนถึงแรงบันดาลใจในคุณค่าแห่งศิลปะ ที่ อ.ชวลิต ได้สร้างให้กับโลกใบนี้ตลอด 80 กว่าปีที่ผ่านมา...ซึ่งทุกท่านสามารถไปเสพย์งานกันได้แบบเต็มๆ รวมแล้วมากกว่า 100 ชิ้น
นิทรรศการนี้เดิมที่ทาง MOCA ติดต่อกับ อ.ชวลิต ไว้เมื่อต้นปี ที่แล้ว แต่ทว่ายังไม่ทันได้คุยรายละเอียด ศิลปินได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
ทาง MOCA ยังเดินหน้าจัดนิทรรศการนี้ขึ้นมาตามความตั้งใจเดิม โดยได้ นิ่ม นิยมศิลป์ มาเป็นภัณฑารักษ์ จัดงานภายใต้แนวคิดที่ว่า การเรียนรู้มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าแค่การสั่งสอนบอกเล่า นิทรรศการ “Messages” จึงนำเสนอแนวทางการดำเนินชีวิต ปรัชญาในการทำงานของ อ.ชวลิต  โดยใช้ผลงานและข้อเขียนของอาจารย์ มาเล่าเรื่องและส่งต่อคุณค่าแห่งศิลปะมาให้กับคนรุ่นหลัง
ก่อนที่เราจะไปชมผลงานต่างๆกัน เรามารู้จักกับ อ.ชวลิต กันสักนิดนึงครับ
อ.ชวลิต จบจากคณะ จิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี พ.ศ. 2505 นอกจากจะเป็นศิษย์ในยุคสุดท้ายของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี แล้ว อ.ชวลิต ยังได้ฝึกฝนทักษะกับ ปรมาจารย์ในวงการศิลปะของประเทศอีกหลายท่าน อาทิ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ เฟื้อ หริพิทักษ์ สนั่น ศิลากร เขียน ยิ้มศิริ และ ทวี นันทขว้าง เป็นต้น  อ.ชวลิต ยังได้รับทุนจากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ไปศึกษาต่อที่ Riksakademie van Beeldende Kunsten กรุงอัมสเตอร์ดัม แต่ เนื่องจากไม่พอใจในแนวทางการสอน จึงได้ลาออกจากสถาบัน มาเริ่มทํางานด้วยตนเอง และต่อมาได้รับทุนอุปถัมภ์จากรัฐบาล เนเธอร์แลนด์ ซึ่งส่งผลให้สามารถเป็นศิลปินได้อย่างเต็มตัว
ในนิทรรศการ เดี่ยวของตัวเอง "In Armsterdam with Chavalit Soemprungsuk"  เมื่อปี พ.ศ. 2556 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน  อ.ชวลิตได้มอบทรัพย์สินกว่า 4,000 ชิ้น ให้แก่รัฐบาลไทย ประกอบไปด้วย ผลงานศิลปะ หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ส่วนตัว และ โครงสร้าง สตูดิโอที่อัมสเตอร์ดัม โดยมีเงื่อนไขว่าสาธารณชนจะต้อง สามารถเข้าถึงทรัพย์สินเหล่านี้ได้ทั้งหมด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อ ศิลปินไทยรุ่นหลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 กระทรวงวัฒนธรรม มีการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ อ.ชวลิต เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
ผลงานของ อ.ชวลิต โดนเด่นที่การใช้รูปทรงพื้นฐานมาสร้างเป็นผลงานเชิงนามธรรมที่ทรงพลัง  อาทิผลงานสื่อผสม "มืดแปดด้าน" ที่สร้างชึ้นในปี พ.ศ. 2536 โดยผลงานนี้ใช้เพียงผืนผ้าสีดำขึงกับโครงไม้ สร้างเป็นผลงาน ขนาด 1.5 เมตร ซึ่งสะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกโศกเศร้าหลังจากที่ อ.ชวลิต ได้สูญเสียลูกชายไปจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ นอกจากนี้ผลงานของ อ.ชวลิต บางครั้งก็ยังชวนให้เราขบคิดถึงประเด็นต่างๆในสังคม อาทิผลงาน "วิวาห์หมาไทย" ซึ่งเกิดจากการสังเกตวิถีชีวิตของหมาในสังคม ส่วนสาเหตุว่าทำไมในปากของสุนัขถึงมีถุงยางอนามัยนั้น พี่ติ้ว วศินบุรี ศิลปินผู้ได้สร้างผลงานต่อยอดจากผลงานชิ้นนี้ของ อ.ชวลิต เพื่อนำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้โดยเฉพาะ ได้เล่าถึงเรื่องราวของผลงานนี้ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นสามารถติดตามได้ในตอนต่อไปครับ (รับรองว่ามันมากๆ)  
อ.ชวลิตสร้างสรรค์งานศิลปะออกมาอย่างต่อเนื่อง และ ทดลองสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ซึ่งจากที่ผมได้พูดคุยกับศิลปินรับเชิญทั้ง 5 ท่าน ต่างพูดตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่า อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในตัวอย่างของศิลปินที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ ความมุ่งมันอดทน และ พยายามทดลองสิ่งใหม่ๆเพื่อสร้างงานศิลปะอยู่เสมอ แม้จะอายุเข้าสู่ช่วงเลข 7 เลข 8 แล้ว อ.ชวลิตได้เริ่มมาทํางานแบบดิจิทัลอาร์ตส์ (digital arts) ณ สตูดิโอ ทํางานศิลปะในเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องและโพสต์ลงใน Facebook ส่วนตัว Chavalit Soemprungsuk  ภายหลังยังได้ทดลองทำงานพิมพ์อิงค์เจ็ทแบบมีเพียงชิ้นเดียว และในงานนี้ต้องบอกว่ามีผลงาน Digital Print ของ อ.ชวลิต ให้ชมกันอย่างจุใจเกือบ 70 ภาพเลยทีเดียว
หากใครอยากจะสัมผัสกับแนวคิด และ ตัวตนของ อ.ชวลิต ให้มากยิ่งขึ้น ในนิทรรศการนี้มีห้องจัดแสดงผลงาน Whether It is Art or Not, 2564 ผลงาน วิดิโอสารคดี  ซึ่งกำกับโดย นวลขนิษฐ์ พรหมจรรยา ที่นำเสนอบทสนทนาของ อ.ชวลิต เป็นเวลา 32.07 นาที ซึ่งเป็นอะไรที่น่าชมมากๆครับ เมื่อเข้างานไปแล้วมองตรงไปจะเห็นห้องนี้ได้ทันที (อยู่ตรงข้ามร้านกาแฟเลยครับ)
สำหรับตอนต่อไปเราจะพาทุกท่านไปชมงาน และ พูดคุยกับ ศิลปินท่านแรก จาก 1 ใน 5 ที่มาร่วมแสดงในงานครั้งนี้ รับรองทุกท่านจะได้ทราบถึงแนวคิดเบื้องหลังการสร้างผลงานศิลปะแต่ละชิ้น กับ บทสัมภาษณ์ สุด Exclusive แบบเจาะลึกเฉพาะที่ เพจ เต้ Art Man เท่านั้น
นิทรรศการ "Messages" เปิดให้ไปชมกันได้ ฟรี! ที่ MOCA Museum of Contemporary Art ตั้งแต่วันนี้ - 27 เมษายน 2564  (ทุกวันอังคาร - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00)






















18 เมษายน 2563 วันที่เราได้รับข่าว

จากทางรพ.ถึงการป่วยจากCOVID-19

ของลุงจิ๋ว อาจารย์ชวลิต เสริมปรุงสุข

ชวลิต เสริมปรุงสุข เป็นศิลปินแห่งชาติ ผู้ใช้ชีวิตควบคู่กับการทำงานศิลปะทั้งในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ และเป็นนักเรียนไทยรุ่นสุดท้าย

ที่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศการเรียนกับ ‘อาจารย์ฝรั่ง’ ศิลป์ พีระศรี หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร อ.ชวลิตได้ย้ายถิ่นฐานไปทำงานในฐานะศิลปินอิสระที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ในวัย 80 ปี อ.ชวลิตผลิตผลงานศิลปะออกมาอย่างสม่ำเสมอ และเพิ่งมีงานแสดงล่าสุดคือ Chavalit 80+ Art Festival เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ชวลิต เสริมปรุงสุขได้สมรสกับภาณี มีทองคำ ศิลปินรุ่นน้องจากรั้วศิลปากรที่ได้ย้ายมาใช้ชีวิตร่วมกันที่ประเทศเนเธอร์แลนด์จนถึงปัจจุบัน โดยภาณีได้รับการดูแลอยู่ที่สถานพยาบาลคนชรา Stichting Cordaan ในกรุงอัมสเตอร์ดัมเนื่องจากอาการอัลไซเมอร์ สำหรับอ.ชวลิตท่านมีโรคประจำตัวคือ โรคหัวใจ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นเป็นลำดับ อ.ชวลิตเริ่มมีอาการอ่อนเพลียและไอตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563 ก่อนจะได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าท่านได้รับเชื้อโคโรน่าไวรัส และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล OLVG Oost กลางกรุงอัมสเตอร์ดัมเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา

ตลอดการรักษา อ.ชวลิตได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด และมีการติดตามอาการอย่างต่อเนื่องจากญาติมิตรที่ประเทศไทย และทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก โดยประสานงานกับเพื่อนฝูงและลูกศิษย์ในเนเธอร์แลนด์ ในการรักษามีการให้ออกซิเจน ยาระงับอาการ และยาต้านไวรัสเป็นลำดับ แต่อาการค่อยๆ ทรุดลง ทางโรงพยาบาลได้เปิดให้มีการเข้าเยี่ยมจากคนสนิท พร้อมทั้งได้เปิดเพลงคลาสสิคที่ท่านชื่นชอบ เปิดหน้าต่างรับแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ของฤดูใบไม้ผลิให้เข้าสู่ห้องพัก ท่านได้นอนหลับไปโดยไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ในช่วงเวลาสุดท้าย จนกระทั่งถึงแก่กรรมอย่างสงบในวันที่ 27 เมษายน 2563 เวลา 11:30 น. สิริรวมอายุได้ 80 ปี

อ.ชวลิตมีความประสงค์ที่จะจากโลกไปอย่างเรียบง่าย สมถะ โดยไม่ต้องมีการจัดงานพิธีศพใดๆ ท่านมีเจตจำนงค์ที่จะบริจาคร่างกายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สอดคล้องกับในปี 2556 ที่อ.ชวลิตได้ทำการส่งมอบผลงานที่เคยสร้างสรรค์ไว้ทั้งหมดให้กับกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อเป็นสมบัติของชาติ โดยหวังที่จะให้เกิดประโยชน์กับคนรุ่นหลังต่อไป

ตลอดระยะเวลาที่ท่านผลิตงานออกมาอย่างมุ่งมั่น ด้วยความรักและเชื่อมั่นในศิลปะ รวมถึงบุคลิกที่ตรงไปตรงมา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบวก ทำให้อ.ชวลิต เป็นหนึ่งในศิลปินที่เป็นที่เคารพรักของผู้คนในวงการศิลปะไทย รวมถึงได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนรักศิลปะมากมาย ท่ามกลางความอาลัยของญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และลูกศิษย์ทั้งในประเทศไทยและในเนเธอร์แลนด์ ขอเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมแสดงความระลึกถึงอ.ชวลิต เสริมปรุงสุขด้วยการโพสต์ข้อความหรือผลงานสร้างสรรค์ผ่านช่องทาง Facebook Page Chavalit Festival หรือด้วยแฮชแทค #chavalitfestival เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองถึงตัวตนและจิตวิญญาณศิลปินของอ.ชวลิตร่วมกัน


Suchai Pornsirikul






Chavalit Soemprungsuk at 80+

Janine Yasovant : Writer 


After an exhibition in Amsterdam, Chavalit Sermprungsuk,Thai National Artist in Visual Arts (Painting, 2014), came back to Thailand again with new exhibitions: 80+ Art Festival Thailand exhibitions in 6 locations: Silpa Bhirasri‘S House, Ratchadamnoen Contemporary Art Center, Lhong 1919. Baramee Of Art, Bangkok Art And Culture Centre ( Bacc), Numthong Art Space, from November 2019-February 2020

Chavalit Soemprungsuk was born in 1939. He was educated at the primary and secondary school of Vajiravudh College, an all-boys boarding school in Bangkok. After that he went to study at the College of Fine Arts and then at the Faculty of Painting, Sculpture and Graphic Arts University of the Arts, Silpakorn University.

Chavalit Soemprungsuk was in one of the last groups of students who had the opportunity to study with Silpa Bhirasri before he passed away. After graduating from Silpakorn University, he received a scholarship from the Ministry of Culture of the Netherlands to study at the Rijkskademie van Beeldende Kunsten in Amsterdam. After he graduated, he became a Sponsored Artist of the Netherlands government, receiving financial patronage and permanent residence.

He married a Thai woman, Phanee Meethongkum, who came to study in the Netherlands after she graduated from Silpakorn University.

He began his career with realism artworks, which later developed into abstraction. Over the past six decades, he has been recognized as one of the key figures in Thai abstract and non-objective art. During a recent solo exhibition In Amsterdam with Chavalit Soemprungsuk at Ratchadamnoen Contemporary Art Center, he decided to donate over 4,000 items of his possessions, including his art collection, books, furniture, personal belongings, and the structure of his Amsterdam apartment to the Thai government, with the request that the collection  be accessible to the public, in order to benefit the younger generations of Thai artists.

After giving up his material properties in preparation for the last stage of his life, Chavalit Soemprungsuk, at the age of 70, shifted his artistic medium from large-scale sculptures and paintings to digital computer prints. During 2013–2019, he developed an immense body of digital works, as well as experimenting with one-off edition digital inkjet prints in his Amsterdam atelier.

This collection was  displayed for the first time in all six venues of ‘80+’ exhibitions, in celebration of his 80th anniversary.

Here was the interview with me in the middle of February 2020


JY. Please tell us about your return to many exhibitions at the same time. Up to six locations in Bangkok in the beginning of the year 2020.


CS. After age 70, I began to prepare to die and manage all my available treasures. A self-built house in Amsterdam was ceded to the Ministry of Culture to organize an exhibition at the Ratchadamnoen.


I no longer wanted to create larger art, but I didn't stop working. I kept everything from my artworks on my computer. My intention is that I want Thai people who love Art  and the new generation in Thailand to have a chance to see my work. Artists from Thailand worked in both Thailand and The Netherlands for the past 60 years. ‘80+’ was the latest: a six-part series of solo exhibitions. It was the exhibition No. 5 from me to Thailand.


JY. Please tell us about the venues in Bangkok


CS. The 80+ Art Festival Thailand November 2019 – February 2020 was at:


SILPA BHIRASRI ‘s House

3-30 November 2019


RATCHADAMNOEN CONTEMPORARY ART CENTER .

3-30 November 2019


LHONG 1919

Exhibition: 16 November-10 December 2019


BARAMEE OF ART

14 December 2019-20 February 2020


BANGKOK ART AND CULTURE CENTRE ( BACC)

14-26 January 2020


NUMTHONG ART SPACE

25 January-15 February 2020


JY. What do you see from new Thai generations that should be a new dimension for development and increased interest in art?

CS. Viewing art from Thailand is still very different from the West. I cannot tell if there is a new dimension developing from the new generation or not. I would say, organizing activities for them to visit everywhere, and give away attention prizes just for fun.

JY. Please tell us a story about your personal life, about your past life.


CS. My life with my wife has been one of love for over 60 years. We've known each other since we studied at Silpakorn University. She lost her parents at a young age. Moving to a foreign country when we were young might be the reason for our uninhibited personas.


When encountering life's terrible things: Our son died in a fire at the age of two. This has always been a great family wound.


Before that, I thought life was endless because my father had lived a long life. Until the tragedy in our home: my son and a friend who came as a baby sitter had died at the same time. I was so confused as was my father. I began to think that people can die any day. You can stay today, tomorrow could be your last day.


I prepared to die and keep managing until the age of 70. I felt that I may die faster. I had heart surgery and Lymphoma. And there were a lot of chances for me for death, but still I survive.


Many people thought that I was successful. But never knew that I was also sad. I used to go through sadness too. Too much suffering, losing a child was a big misery. It won't be forgotten, but we have to live with it. It's difficult.


Yet we have art. After my child's death, I made another type of art. It was a matter of sadness. We did it with our feelings at that time. We have to do art because we were born to do art. Art depends on our lives at that time. It will come out sincerely. How can you be a fake? Your child is dead. You write beautiful flowers. It's impossible.


Art for me is life. We suffer. We are happy. We are sick. We lose, we are hurt, we are sad. It is part of the art of people. Not everyone has happiness but not everyone will see only flowers and the sky. Every life is like that.












ชวลิต เสริมปรุงสุข ที่ '80+'
 จานีน ยโสวันต์

หลังจากการจัดนิทรรศการในกรุงอัมสเตอร์ดัม
ชวลิต เสริมปรุงสุข ศิลปินแห่งชาติ สาขา ทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
ปีที่ได้รับ พ.ศ.2557ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง
กับนิทรรศการครั้งใหม่ '80+' เทศกาลศิลปะ ในประเทศไทย
ที่จัดขึ้นถึง 6 แห่ง คือ
บ้านอาจารย์ฝรั่ง,  หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน,
ล้ง 1919, หอธรรมพระบารมี หอศิลป์ร่วมสมัย,
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, นำทอง อาร์ต สเปซ
นิทรรศการที่จัดเริ่มตั้งแต่ พฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563


ชวลิต เสริมปรุงสุข เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2482 เรียนจบชั้นประถมและมัธยม ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำของนักเรียนชายในกรุงเทพมหานคร หลังจากที่ได้เข้าเรียนและเรียนจบในสถาบัน วิทยาลัยช่างศิลป์ ต่อมาได้เข้าเรียนต่อในคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ชวลิต เสริมปรุงสุข ได้เป็นนักศึกษากลุ่มสุดท้าย ที่มีโอกาสได้เรียน และทำงาน กับอาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต หลังจากจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านได้รับทุนจากกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้ไปศึกษาที่สถาบันRijkskademie van Beeldende Kunsten ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และต่อมาได้เป็นศิลปินที่ได้ทุนอุปถัมภ์ ของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ให้เป็นศิลปินที่พำนักอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์อย่างถาวร

ชวลิต เสริมปรุงสุข สมรสกับสุภาพสตรีจากประเทศไทย

คุณภาณี มีทองคำ ซึ่งเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศิลปากรเช่นเดียวกัน และได้รับทุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ มาศึกษาต่อเช่นกัน

ชวลิต เสริมปรุงสุข  เริ่มทำงานศิลปเป็นอาชีพ จากแนวงานที่เรียกว่า ศิลปสัจจนิยม (realism) ต่อมาก็จะเป็นรูปแบบของงานนามธรรม (abstraction)เวลาผ่านไปกว่า 60 ปี ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในศิลปะนามธรรม ในรูปแบบศิลปะนามธรรมแบบไทย และศิลปะแบบไม่มีเรื่องราวและไม่มีเนื้อหา

จนกระทั่งมีนิทรรศการเดี่ยว ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร ที่ใช้ชื่อว่า In Amsterdam with Chavalit Soemprungsuk  เวลานั้นท่านตัดสินใจที่จะบริจาคงาน ที่เป็นของสะสม มากกว่า 4000 ชิ้น อาทิเช่น ชิ้นงานศิลปะ หนังสือ ของแต่งบ้าน ของใช้ส่วนตัว รวมทั้งโครงสร้างของอพาร์ตเมนท์ที่สร้างด้วยตนเองที่กรุงอัมสเตอร์ดัมยกให้ก ับรัฐบาลไทย ซึ่งมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นใหม่ ไว้ในการศึกษางานศิลปะ

หลังจากเลิกสะสมสมบัติที่มีอยู่แล้ว ชวลิต เสริมปรุงสุข ได้เตรียมวาระสุดท้ายของชีวิต ในวัย 70 ปี เลิกทำงานชิ้นใหญ่ๆ ทั้งปั้นทั้งวาดมาใช้ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ จากปี พ.ศ. 2556-2562 ท่านได้พัฒนาสัดส่วนของงานดิจิทัล เช่นเดียวกับ การทดลองของการพิมพ์งานดิจิทัลที่ใช้หมึกพิมพ์ ที่งานจะออกมาเพียงเพียงครั้งเดียวในสตูดิโอทำงาน ที่เป็นที่ทำงานส่วนตัว เรียกชื่อว่า อัมสเตอร์ดัม เอทลิเยร์


จำนวนงานที่สะสมและทำมายาวนาน ได้มาแสดงในครั้งแรกในเมืองไทย โดยใช้สถานที่จัดงาน 6 แห่ง เรียกชื่อว่า นิทรรศการ '80+' ซึ่งเป็นการฉลอง อายุครบ 80 ปี ของท่านเอง



ต่อไปเป็นการสัมภาษณ์ของดิฉัน ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563

JY. ขอท่านช่วยเล่าการกลับมาแสดงนิทรรศการ ที่จัดทำพร้อมๆกัน ถึง 6 แห่ง ในระยะเวลาเริ่มต้นของ ปีพ.ศ.2563

CS. หลังจากอายุ 70 ปี ผมก็เริ่มเตรียมตัวตาย และจัดการกับทรัพย์สินที่มี รวมถึงบ้านที่สร้างมาด้วยตนเอง ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ก็โอนกรรมสิทธิ์ ให้กับกระทรวงวัฒนธรรมไทย เพื่อนำมาจัดงานนิทรรศการที่ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ต่อมาผมไม่มีความประสงค์จะทำชิ้นงานใหญ่ๆอีกต่อไป แต่ผมก็จะไม่หยุดทำงาน ผมเก็บงานทุกอย่างไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ความตั้งใจจริงของผมคือ ต้องการให้คนที่รักในงานศิลปะ และคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ได้มีโอกาสเห็นงานของผม ซึ่งเป็นศิลปินที่ทำงานให้ทั้งประเทศไทยและประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลาผ่านมา 60 ปี นิทรรศการ '80+'  เป็นงานล่าสุด ทั้ง 6 สถานที่จัดขึ้นของนิทรรศการเดี่ยว เป็นการแสดงนิทรรศการครั้งที่ 5 ในประเทศไทยของผม

JY. กรุณาบอกสถานที่จัดงานในกรุงเทพหน่อยค่ะ



CS. '80+' นิทรรศการศิลปะในประเทศไทยเริ่มขึ้น:

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563
มีสถานที่ต่อไปนี้

บ้านอาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี
วันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2562

หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน
วันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2562

ล้ง1919
16 พฤศจิกายน 2562-10 ธันวาคม 2563

หอธรรมพระบารมี หอศิลป์ร่วมสมัย
14 ธันวาคม 2562 -20 กุมภาพันธ์ 2563

หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ( BAAC)
14-26 มกราคม 2563

นำทอง อาร์ต สเปซ
25 มกราคม-15กุมภาพันธ์  2563

JY. ท่านเห็นอะไรกับคนไทยรุ่นใหม่ที่น่าจะมีมิติใหม่ๆในการพัฒนาและเพิ่มความสน ใจในงานศิลปะ

CS. มุมมองงานศิลปะในประเทศไทยยังต่างจากตะวันตกมาก ผมยังบอกไม่ได้ว่าจะมีมิติใหม่ที่พัฒนาจากคนรุ่นใหม่หรือไม่ ผมอาจจะกล่าวว่า การจัดกิจกรรมสำหรับพวกเขาที่จะไปร่วมงานทุกแห่งที่จัดมีการตั้งรางวัลให้มาร ่วมงานทำไปเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น   

JY. ขอท่านช่วยเล่าเรื่องส่วนตัวที่ผ่านมา

CS. ชีวิตของผมและภรรยาที่รักกันมามากกว่า 60 ปี รู้จักกัน ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยศิลปากร เธอไม่มีทั้งพ่อและแม่ เมื่อวัยเยาว์ และเราได้ย้ายมาอยู่ต่างประเทศเมื่ออายุน้อย อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เกิดการไม่ยับยั้งระหว่างสองเรา เมื่อเกิดปัญหาเหตุการณ์รุนแรงกับชีวิต ลูกชายของเราเสียชีวิตในกองเพลิงเมื่ออายุได้สองขวบ ซึ่งเป็นบาดแผลสำคัญในครอบครัว

ก่อนหน้านั้น ผมเคยคิดว่าชีวิตไม่มีจุดจบ เพราะมีคุณพ่อที่อายุยืน จนกระทั่งมีเรื่องเศร้าในครอบครัว เวลานั้นลูกชายอยู่กับเพื่อน ที่มาทำหน้าที่ดูแลเด็กและได้เสียชีวิตพร้อมกัน ผมรู้สึกสับสนมาก ถ้าเปรียบเหมือนคุณพ่อของผมที่อายุยืนมาก และเริ่มคิดได้ว่าคนตายได้ทุกวัน คุณอาจจะอยู่ได้วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้ ผมเตรียมตัวตายและเตรียมจัดการเรื่องต่างๆจนกระทั่งอายุ 70 ปีและรู้สึกตัวว่าอาจจะตายเร็ว ผมเคยผ่าตัดหัวใจ 2 ครั้ง และเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองซึ่งทำการรักษาอยู๋ ซึ่งมีโอกาสที่จะตายได้มาก แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่

หลายๆคนมองผมว่าประสบความสำเร็จมาก ไม่เคยรู้ว่าผมยังมีความเศร้า และได้อยู่ในความทุกข์ที่สุดนั้น เป็นความทรมานใจการเสียลูกไปเป็นความหมดหวังครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งไม่สามารถจะ ลืมได้ แต่เราต้องอยู่กับมัน และมันยากมาก

ใช่ละ เรามีงานศิลปะหลังจากลูกเสียชีวิต ผมก็ได้ทำงานหลายๆแบบ และมันก็เกี่ยวกับความเศร้าโศกและเราก็ทำด้วยความรู้สึกในเวลานั้น เราทำงานศิลปะเพราะเราเกิดมาเพื่อทำงานศิลปะ ศิลปะจะขึ้นอยู่กับชีวิตเราในเวลานั้น มันจะออกมาจากใจ
  และคุณจะกลบเกลื่อนมันได้อย่างไร เมื่อลูกคุณเสียชีวิต
คุณจะวาดดอกไม้สวยๆ มันเป็นไปไม่ได้

ศิลปะของผมคือชีวิตเมื่อเราทุกข์ เมื่อเราสุข เราป่วย เราสูญเสีย เราถูกรังแก เราเศร้า มันเป็นบางส่วนของศิลปะในมนุษย์ ไม่ใช่ทุกคนจะเจอแต่ความสุข และไม่ใช่ทุกคน
จะเห็นแต่ดอกไม้และท้องฟ้า ชีวิตคนเป็นเช่นนี้.








































































































































Thank you Suchai Pornsirikul 

Besame Mucho